สารจากประธานกรรมการบริษัท

ชนิตร ชาญชัยณรงค์

ประธานกรรมการบริษัท

ในปี 2566 ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายในหลายๆ ด้าน ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศกำลังให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยถือเป็นความท้าทายสำหรับบริษัทฯ ที่ต้องเตรียมพร้อมปรับตัวตามกระแสโลก ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนผ่านจากการฟื้นตัวไปสู่การชะลอตัวเนื่องจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาสงคราม การกีดกันทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นรวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งสร้างความเสี่ยงและความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรให้ลดลง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีความร่วมแรงร่วมใจในการทำงานอย่างสุดความสามารถ เตรียมพร้อมรับมือเป็นอย่างดี และปรับตัวอย่างรวดเร็วกับสถานการณ์ต่างๆ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และสร้างจุดแข็งที่มีอยู่ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังรักษาความเป็นผู้นำในการผลิตยางธรรมชาติและเติบโตได้อย่างโดดเด่น

จากเดือนพฤศจิกายน ปี 2561 นับเป็นเวลากว่า 5 ปี ที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากผลการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ถึงปี 2566 จะเห็นได้ว่า บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้และกำไรสุทธิ โดยรายได้เติบโต 2.5 เท่าจาก 10,084 ล้านบาท เป็น 25,057 ล้านบาท และกำไรสุทธิ (Net Profit) เติบโต 3 เท่า จาก 486 ล้านบาท เป็น 1,546 ล้านบาทอีกทั้ง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทฯ โตขึ้นถึง 2 เท่า แสดงให้เห็นว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง และมีโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสม นอกจากผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเติบโต มีการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินธุรกิจตลอดเวลา โดยการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องจาก 232,800 ตันต่อปี ในปี 2561 เป็นกำลังผลิตรวมปัจจุบันที่ 515,600 ตันต่อปี มีการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) และผลิตภาพ (Productivity) ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด การลดของเสียจากกระบวนการผลิต (Zero Waste) มาตรการการลดต้นทุนสินค้าโดยการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง (Economy of scale) ขยายการใช้พลังงานทดแทนทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวภาพ (Biogas) อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนไฟฟ้าและต้นทุนพลังงานความร้อน อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ในอนาคต

ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่โดดเด่น นอกเหนือจากมิติการขับเคลื่อนธุรกิจในเชิงเศรษฐกิจแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญและตั้งเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) โดยได้รับรางวัลจากหลายองค์กรทั้งระดับประเทศและสากลในความมุ่งมั่นที่จะบริหารองค์กรสู่ความเป็นเลิศ สร้างฐานรากขององค์กรผู้นำที่เติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคงและยั่งยืน อีกทั้งยังได้ขยายผลการเจริญเติบโตนี้ไปยังสังคม ชุมชน โดยดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2566 ในระดับ “A” (หรือชื่อเดิม THSI) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

ในนามของคณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนด้วยดีเสมอมา บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดจนห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน โดยมุ่งหวังเป็นผู้นำในการผลิตยางธรรมชาติ พัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ทุกฝ่ายเป็นอย่างดีและต่อเนื่องในระยะยาว

สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

จากเป้าหมายและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ ด้วยวิสัยทัศน์และความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งในด้านกำลังการผลิตและปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ โดยในปี 2566 บริษัทฯ มีปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ยอดการส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวมาก ทางบริษัทฯ จึงได้มีแผนขยายโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่งและยางแท่งผสม (STR & STR-Mixtures Rubber) คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จในปี 2567 ภายหลังจากการขยายกำลังการผลิต บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นเป็น 818,000 ตัน/ปี โดยการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน

ในปี 2566 ภาพรวมของรายได้จากปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไปจนถึงกลางปี 2567 แล้ว เนื่องจากความต้องการยางธรรมชาติเริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนตามความต้องการใช้ยางในการก่อสร้างที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันคำสั่งซื้อเข้ามามากถึงเท่าตัว นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งมอบตามกำหนดเวลา รวมถึงวางเป้าหมายเพื่อขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพทั้งกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น จะเห็นได้ว่าบริษัทฯ ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขัน อัตราการเติบโตของรายได้ การลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง รวมถึงการนำพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพมาใช้เพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงานในโรงงาน และเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ อีกทางด้วย

บริษัทฯ วางเป้าหมายเพื่อขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแผ่นยางพาราปูรองปศุสัตว์ สำหรับวัว หมู รวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ที่ได้ผลิตและจำหน่ายแล้วนั้น บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จาก มอก. เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนขอการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ให้กับบริษัทฯ เป็นอย่างดีในอนาคต อีกทั้ง บริษัทฯ ยังมีแผนทางการตลาด รวมถึงทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยในการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบหลักออกมาจำหน่าย เพื่อเป็นการเพิ่มพูนมูลค่าให้กับสินค้าจากผลิตภัณฑ์ยางพาราอย่างต่อเนื่อง และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาว

จากกระแสตื่นตัวของภาคธุรกิจทั่วโลกที่หันมาเน้นเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับบริษัทฯ ได้เตรียมพร้อม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดแนวทางปฏิบัติด้าน ESG ซึ่งครอบคลุมการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการดูแลกิจการ (Governance) อีกทั้งนำมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ร่วมลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนอย่างมั่งคงในระยะยาวเอื้อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน การดูแล ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน การดูแลใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ การส่งเสริมสนับสนุนการจ้างงานในชุมชน การดูแลสุขภาพของคนในชุมชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น รวมถึงการดำเนินงานเพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs และเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ

ในนามของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนและความไว้วางใจที่ดีเสมอมา ทำให้บริษัทฯ มีความเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งเติบโตยิ่งขึ้น บริษัทฯ มีความมุ่งมั่น ทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในการผลักดันธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า เพื่อการสร้างพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนให้กับองค์กร ด้วยการดำเนินธุรกิจที่ผสมผสานยุทธศาสตร์ความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานบนหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อก้าวไปสู่องค์กรแห่งความยั่งยืนที่แท้จริง ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับโลกของเรา